เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๖ ก.ย. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมนะ วันนี้วันพระ วันพระ วันโกน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ตรัสรู้ขึ้นมาวางธรรมวินัยนี้ไว้รื้อสัตว์ขนสัตว์ คำว่า “รื้อสัตว์ขนสัตว์” เราเป็นสัตว์หรือเปล่า เราเป็นสัตว์ประเสริฐขนาดไหน รื้อสัตว์ขนสัตว์ก็รื้อหัวใจของเรานี่ไง ถ้าหัวใจของเรา คนไข้คนเจ็บคนป่วยเขาหาโรงพยาบาล เขาจะรักษาเขาเพื่อให้หายจากไข้

ไอ้เรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ก็จะรื้อหัวใจของเราไง ให้เราพ้นจากทุกข์ๆ ในหัวใจเรามีแต่ความทุกข์ความยากอยู่นี่ เรามีความทุกข์ความยาก คนเจ็บไข้ได้ป่วยเขาไปโรงพยาบาล เขาไปรักษาของเขา ไอ้คนที่เจ็บไข้ได้ป่วยมันไม่ระลึกถึงตัวมันเองเลยไง

ถ้าระลึกถึงตัวมันเอง ดูสิ ดูเมื่อคืนวันไหว้พระจันทร์ พระจันทร์ยิ้มแย้มแจ่มใส มีความสุข มีความสงบ เห็นไหม ถ้าสังคมสงบร่มเย็น สังคมสงบร่มเย็น เราต้องการความสุขสงบอย่างนี้ ถ้าความสุขสงบอย่างนี้ การประกอบสัมมาอาชีวะก็ได้ สมณะชีพราหมณ์จะประพฤติปฏิบัติก็สะดวก ความสุขสงบๆ ความสุขสงบมันมาจากไหนล่ะ

ความสุขสงบมันเป็นวัฒนธรรม วันไหว้พระจันทร์ๆ พระจันทร์ยิ้มนะ โอ้โฮ! อากาศมันดี มันไม่ร้อน มันอากาศดีมาก บรรยากาศดีมากๆ ดีมากๆ มันมีความสุข มันมีความสุขนะ ความสุข สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แต่เวลาวันนักขัตฤกษ์เขาก็มีมหรสพสมโภชกันไป อันนั้นก็เป็นวัฒนธรรมเอาไว้การท่องเที่ยว เอาไว้หาเงินไง เป็นธุรกิจไง แต่เอาจริงๆ ขึ้นมามันก็ความสุขในหัวใจของเรานี่ไง

วันนี้วันพระๆ เป็นวันหาบุญกุศลใส่หัวใจของตน ถ้าหาบุญกุศลใส่หัวใจของตน วันพระๆ ไง ถ้าจิตใจเรายังไม่เป็นพระเป็นเจ้าขึ้นมา จิตใจของเราก็พยายามขวนขวายของเราไง ถ้าขวนขวายของเรา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ถ้ามีสติธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรม มีสัจธรรมๆ ในหัวใจของเรา

ในหัวใจเรามีแต่ความรุ่มร้อน มีแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันมีแต่ความขับดันในหัวใจไง ถ้ามีสติๆ สติธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรม มันมีสัจธรรมๆ แล้วสัจธรรมมันหาที่ไหนล่ะ สัจธรรมมันหาที่ไหน สัจธรรมหาได้ที่ไหน

ดูพระเราสิ ออกพรรษาแล้วก็ออกธุดงค์ ออกหาที่สงบสงัด หาที่วิเวก หาที่วิเวกเพื่อประพฤติปฏิบัติไง เวลาเขาธุดงค์ของเขาไป เขาไปหาอะไรของเขา เขาไปหาหัวใจของเขา เวลาเราเข้าป่าเข้าเขาไป เราเป็นคนใช่ไหม เราเป็นมนุษย์ใช่ไหม มาบวชเป็นพระใช่ไหม เราเข้าป่าเข้าเขาไปก็เข้าป่าทั้งร่างกายและจิตใจของเราไง เข้าไปพร้อมร่างกายและจิตใจ แต่หาจิตใจของตนไม่เจอไง ถ้าหาจิตใจของตนไม่เจอก็มีข้อวัตรปฏิบัตินี่ไง ธุดงควัตรๆ ข้อวัตรหาหัวใจของตน หาหัวใจของตนๆ

เขาไปทำไม ธุดงค์ไปทำไม ไปป่าไปเขาไปทำไม

ไปประพฤติปฏิบัติ การประพฤติปฏิบัติเพื่ออะไร การประพฤติปฏิบัติเพื่อค้นหาหัวใจของตน ถ้าจิตสงบขึ้นมา จิตสงบขึ้นมาแล้วมันมีความสุขมีความสงบเข้ามา ที่มันเร่าร้อนๆ อยู่นี่ เร่าร้อนเพราะอะไร เร่าร้อนเพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เพราะอวิชชา เพราะความไม่รู้จักตัวมันเองไง จิตนี้เรียกร้องความช่วยเหลือ เรียกร้องความช่วยเหลือ ใครจะไปช่วยเหลือมัน ไม่มีใครจะช่วยเหลือมัน เห็นไหม

เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมวินัยนั่นเป็นทฤษฎี ธรรมโอสถๆ ไปซื้อยากันมา เขาแจกยากันมาก็ได้ขวดยามา ขวดยาก็นั่งเลยนะ มันรักษาอย่างไร มันกินเท่าไร...มันอ่านแต่ฉลากยาน่ะ มันอ่านแต่ฉลากยา มันไม่เคยได้กินยาเลย ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษามาๆ ฉลากยาทั้งนั้น เราศึกษามา เราค้นคว้ามามีสติปัญญาทั้งนั้น แต่เวลาเอาจริงๆ ขึ้นมาเขาเปิดขวดนั้น เอาขวดนั้นเป็นยานั้นน่ะ ธรรมโอสถนั่นน่ะกรอกใส่ปากของตน เวลาใส่ปากของตนมันเข้าไป ไปทำปฏิกิริยาในร่างกายของเรา นี่ก็เหมือนกัน ถ้าสติมันเป็นจริงขึ้นมามันยับยั้งความรู้สึกนึกคิดของเราได้

ไอ้ที่ว่าทุกข์ๆ อยู่นี่ ไอ้ที่ว่าฟุ้งซ่านๆ อยู่นี่ เวลาฟุ้งซ่านก็ไปหาพระนะ อ้อนวอนขอ ไปที่ไหน เห็นไหม เราดูลัทธิศาสนาอื่นก็เหมือนกัน การทรงเจ้าเข้าทรงนั่นน่ะ ไปถึง “ลูกช้างๆ” เป่าหัว พ่วง! กลับบ้านหายแล้ว มันบอกหายก็ต้องหายกับมันนะ หายต่อหน้านั่นน่ะ กลับไปถึงบ้าน ทุกข์อีกแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธหมดเลย

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน จิตใจที่มันทุกข์มันยากถ้ามันมีสติปัญญาของมัน ค้นคว้าหาจากใจดวงนี้ ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล หัวใจดวงใดไม่มีมรรค หัวใจดวงใดไม่มีศีล สมาธิ ปัญญา ไม่เกิดการกระทำอันนั้น หัวใจดวงนั้นไม่รู้ธรรม ไม่รู้สัจธรรม

จะเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามี เป็นพระอรหันต์ต้องมีองค์ความรู้ ต้องมีอาสวักขยญาณ ญาณหยั่งรู้ในใจของตน มีวิถี ญาณวิถีที่รู้แจ้งในใจของตน ถ้ามีญาณวิถีที่รู้แจ้งในใจของตน นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เราค้นคว้าหาใจของเรา ค้นคว้าหาใจของเราแล้วใช้ศีล สมาธิ ปัญญา ใช้สติปัญญาของเราค้นคว้าในใจของเรา ถอดถอนไอ้ที่ความไม่รู้ในใจของเรา ถอดถอนมันออกมาให้หมด

ถ้ามันถอดถอนออกมา ในดวงใจดวงใดมีมรรค มีมรรคก็มีผล มีมรรคก็มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ถ้ามีสมาธิมีปัญญาขึ้นมา มันมีปัญญาขึ้นมาในใจดวงนั้นน่ะ ใจดวงนั้นจะโง่เง่าเต่าตุ่นอยู่ได้อย่างไร

แต่ใจดวงที่มันโง่เง่าเต่าตุ่นอยู่นี่ ใจที่มันทุกข์มันยากอยู่นี่ เพราะมันโง่เง่าเต่าตุ่น อวดรู้ ฉลากยา อ่านเก่ง รู้ไปหมด แต่ไม่รู้เลยว่ายาเวลาเข้าถึงปากของตนมีรสชาติอย่างไร ไม่รู้จัก แล้วมันจะเอาความจริงมาจากไหนๆ

ถ้าเอาความจริงของเรา เรามาวัดมาวากัน วันนี้วันพระ วันพระไปวัดก็ไปทำบุญกุศลของเรา จะเปิดขวดๆ เกลียวมันแน่นมาก ถ้ามันเป็นเหล็กมันก็เป็นสนิมเขรอะเลย เวลาจะเปิดขวด เปิดขวดก็เปิดหัวใจของตนไง ไปวัดๆ ถ้าจิตใจมันไม่พอใจมันจะมาไหม จิตใจที่มันไม่คิดมันจะมาไหม เปิดขวดมันออกมาให้ได้ๆ เรามาวัดมาวา เราไปวัด ผ่อนคลาย ความตระหนี่ถี่เหนียว ของกูๆ กูรู้ กูแน่ กูเก่ง เก็บไว้ในหัวใจก่อน ถ้ากูรู้ กูแน่ กูเก่ง มันต้องมีปัญญา มันต้องเอาตัวมันรอดได้

มันเอาตัวมันรอดไม่ได้ กูรู้ กูเก่ง นั่นฉลากยาทั้งนั้นน่ะ เราไปวัดด้วยเจตนา เจตนาในการเสียสละ เจตนานั้นกิเลสมันไม่พอใจ “จะนอน อยู่บ้านก็มีความสุขแล้ว ทำไมต้องไป” เห็นไหม มันจะปิดขวด มันไม่ได้ มีเงินมีทอง ของเราหามาเกือบเป็นเกือบตาย

เห็นไหม เมื่อคืนวันไหว้พระจันทร์ เวลามันสุขสงบขึ้นมา บรรยากาศสุขสงบเพราะสังคมสงบร่มเย็น ความสงบร่มเย็นอย่างนั้นเงินมันซื้อได้ไหม เงินมันซื้อไม่ได้นะ แล้วความสุขสงบในใจมันเกิด เกิดขึ้นมาจากไหน

นี่ก็เหมือนกัน ปัจจัยเครื่องอาศัยมันซื้อความสุขไม่ได้หรอก มันซื้อความสุขไม่ได้ แต่ทางโลก เงินมีความสำคัญไหม สำคัญทางปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้าซื้อไม่ได้ เขาว่าเงินเป็นพระเจ้า เขาว่าเงินจ้างผีโม่แป้งนะ อันนั้นเป็นเรื่องของโลกๆ ไง เรื่องของโลกๆ ลาภสักการะ ลาภควรได้และไม่ควรได้ การกระทำอย่างนั้นสุจริตและทุจริต นั่นมันเรื่องของโลกเขา เราเป็นธรรมๆ ของเรา ถ้าเงินจ้างผีโม่แป้งได้ นั้นมันเป็นเรื่องจ้างผี ผีมันไม่ใช่มรรคไม่ใช่ผล ผีมันเป็นเปรตเป็นผี มันทำแต่ความเจ็บช้ำน้ำใจต่อกัน

แต่ของเรา เงินซื้อความสุขไม่ได้ มีมากขนาดไหนยิ่งไปกระตุ้นกิเลสให้อยากได้มากขึ้น ไม่มีคนไหนบอกรวย มันไม่เคยพอ ยิ่งมีเงินเท่าไรมันยิ่งไปกระตุ้นต่อมความอยากให้มากขึ้น มันจะมีความทุกข์มากขึ้น มันมีตัณหาความทะยานอยากมันล้นฟ้า มันจะครอบครองโลก มันจะเอาทรัพยากรทั้งดวงจันทร์มาใช้ กิเลส เงินมีความสุขจริงหรือ แต่เงินเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยนะ เป็นปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้ารู้จักฉลาด รู้จักใช้มัน เราจะเปิดขวดๆ เปิดขวดคือเจตนาของเรานี่ไง เจตนาเสียสละๆ แล้วมันเปิดของมันออกไป จะเปิดขยับแค่ฝาขวดให้มันพอหมุนเกลียวได้ก็ยังดี ถ้ามันหมุนเกลียวไม่ได้เลย มันฝังอยู่นั่นน่ะ แล้วมันไม่ได้สิ่งใดขึ้นมา

ถ้ามันได้สิ่งใดขึ้นมา ในเมื่อเงินซื้อความสุขไม่ได้ สิ่งที่จะซื้อความสุขได้ ความสุขจริงๆ ได้ มันต้องด้วยสติ ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญาของเรา ถ้าด้วยสติ ด้วยปัญญาของเรา เรามีสติปัญญาของเรา

สังคมถ้าร่มเย็นเป็นสุข เขามีประเพณีวัฒนธรรม เขาไหว้พระจันทร์ของเขา ระลึกถึงกตัญญูกตเวทีถึงประวัติศาสตร์ของเขา เราก็ชื่นชมกับเขาไป เราไม่ดูถูกความเชื่อใดๆ ทั้งสิ้น ความเชื่อคือความเชื่อ มันเป็นความเชื่อของคน แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมา ปฏิเสธหมด ปฏิเสธหมด

ความจริงๆ ความจริงมันเกิดเป็นปัจจัตตัง เป็นปัจจัตตัง เป็นรู้เฉพาะตนในใจของตน ไม่เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น เชื่อในการประพฤติปฏิบัติ เชื่อสัจจะความจริงอันนี้ขึ้นมา ถ้าเชื่อสัจจะความจริงอันนี้ขึ้นมา เรามหัศจรรย์ ดูสิ เวลาหลวงตาท่านบรรลุธรรม ท่านกราบแล้วกราบเล่า กราบถึงปัญญา ถึงเมตตา ถึงกรุณาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครมันจะรู้เรื่องอย่างนี้ได้ ใครมันจะรู้เรื่องอย่างนี้ได้

รู้เรื่องคนอื่นไปหมด แต่ไม่เคยรู้เรื่องของตนเลย ไม่เคยรู้เรื่องในหัวใจของตนเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นถึงกษัตริย์ เสียสละทรัพย์สมบัติทั้งหมดออกมาไปทุกข์ไปยาก ไปทุกข์ไปยากเพื่ออะไร

นี่ไง พระเราเวลาเข้าป่าเข้าเขา อยู่วัดก็วาก็มีคนอุปัฏฐากอุปถัมภ์อยู่แล้ว ทำไมต้องไปทุกข์ไปยาก

คำว่า “ไปทุกข์ไปยาก” ก็ไปล่อกิเลสมันออกมาไง กิเลสมันอยากจะนอนอบอุ่น มันจะนอนตัวอ้วนๆ มันจะต้องการความสุขความสงบของมันไง ไปทุกข์ไปยาก ไปทุกข์ไปยากมันก็ต่อต้านไง ต่อต้านก็ขอดูหน้ามันไง ถ้าขอดูหน้ามัน ทำความสงบของใจเข้ามาไง นี่ไง ถ้ามันเป็นจริงๆ ขึ้นมามันจะเกิดความจริงขึ้นมา เกิดความจริงขึ้นมาจากการทดสอบ นี่นักวิทยาศาสตร์ไง นักวิทยาศาสตร์ที่เขาค้นคว้าวิจัยงานของเขา นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสบความสำเร็จในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ววางทฤษฎีนี้ไว้ ถ้าใครพิสูจน์ขึ้นมาก็เป็นสาวกสาวกะ ผู้ที่ได้ยินได้ฟังไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้รื้อค้นขึ้นมา เราเองต่างหากต้องพยายามค้นคว้าของเราขึ้นมาให้เป็นความรู้ความจริงในใจของเราไง ถ้าเป็นความรู้ความจริงขึ้นมามันก็เป็นธรรมโอสถ ธรรมโอถสนั้นมันก็จะปราบปรามกิเลสในใจของใจดวงนั้น ถ้ามันปราบปรามกิเลสในหัวใจดวงนั้น

มาวัด มาวัดหัวใจของตน เวลามาวัด วัดที่ในการต้องขับเคลื่อน ต้องช่วยตัวเอง ต้องทำทุกๆ อย่างไปวัด วัดอะไร ก็จะเอากิเลสมันออกมาไง เราไม่ใช่ไปสปา ไปโรงแรมที่เขามีการบริการสุดยอดแล้วเขาก็เก็บสตางค์ไง ไปวัดไม่มี ไปวัดยิ่งติดดินเท่าไร ยิ่งถึงเป็นสัจจะเท่าไร มันจะได้ความจริงอันนั้นขึ้นมา ถ้าได้ความจริงอันนั้นขึ้นมา ลูกศิษย์กรรมฐานเขาถึงสะดวกสบาย เรียบง่าย ความเรียบง่ายคือสูงสุดไง สิ่งที่ความสุขสงบไง ถ้าเรียบง่ายมันก็ไม่เดือดร้อนไง แต่ถ้ามันวุ่นวาย วุ่นวายมันก็เป็นมหรสพสมโภชไง หลอกเอาสตางค์กันไง หลอกเอาสตางค์สิ บริการ ธุรกิจบริการ แล้วถ้าไปวัดนี่ไม่ใช่บริการหรือ

ไปวัดไปวาเป็นข้อวัตรปฏิบัตินะ มันเป็นน้ำใจของคน น้ำใจของคน ในเมื่อเป็นคน คน มองตากันสิ เรามีน้ำใจต่อกัน มีความจริงใจต่อกัน ความที่จริงใจต่อกัน ไม่ใช่สุ่ม ไม่ใช่ข้องคอยล่อคอยหลอกคอยลวง ไปเอาสิ่งใดเพื่อผลประโยชน์ ไม่ใช่ ที่นี่ไม่ใช่สุ่มไม่ใช่ข้อง ไม่มีนางกวัก ไม่ต้อง คุณงามความดีของคน คุณงามความดีของคน กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมหอมทวนลม มันเป็นสัจจะ

ความหอมของโลกไปตามกระแสลม ความหอมของคุณงามความดี ผู้ใด ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่โลกนี้มันปลิ้นปล้อนนัก มนุษย์เป็นสัตว์ประหลาด คิดอย่างหนึ่ง พูดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง ฉะนั้น เห็นใครดีเกินหน้าไม่ได้ ฉะนั้น เห็นใครดีเกินหน้าไม่ได้ ความดีอันนี้มันถึงทำได้ยากไง

ความดีของโลก เยินยอ หลอกลวง ปลิ้นปล้อน เอาสุ่มเอาไซมาดักกัน นั่นความดีของโลก ความดีของธรรม สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี เกิดปัญญาการแยกแยะถากถางกิเลสของคน ในใจของคน นี่ปัญญาในพระพุทธศาสนา ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการกระทำ เกิดจากสัจจะความจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้มันเป็นสัจจะเป็นความจริงในใจของเรา ถ้ามันเป็นสัจจะความจริงของเรา พระพุทธศาสนามีคุณค่ามาก มีคุณค่าอย่างนี้

แต่พวกเรามันเป็นกบเฝ้ากอบัวน่ะ มันไม่รู้จักค่า มันไม่รู้จักคุณค่าของศาสนา มันไม่รู้จักคุณค่าของความจริงไง เห็นแต่เปลือก ใครยอเก่งๆ อันนั้นดี ใครพูดหวานๆ นั่นสุดยอด...หลอกลวงทั้งนั้น เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ ท่านพูดความจริงๆ เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูดถึงหลวงปู่มั่น ท่านเทศน์ทีไร อู้ฮู! ลูกศิษย์ลูกหานะ “ฝนจะตกๆ” ทุกคนหาภาชนะจะไปรองน้ำฝนนั้นๆ ท่านพูดออกมามันมีเกร็ดของธรรม มันมีเหตุมีผลทั้งนั้นน่ะ ไปฟังแล้วมันชื่นใจ ไปฟังแล้วมันมีโอกาสที่จะได้บึกบึนหัวใจเราไปไง โอกาสที่จะพาใจนี้ให้มันรอดมันพ้นจากการดักซุ่มโจมตีของกิเลส

กิเลสมันดักมันซุ่ม มันโจมตี มันหลอกมันล่อ ไปไม่รอดหรอก ไอ้นู่นก็ดี ไอ้นี่ก็ดี เราก็เป็นคนดีที่หนึ่งในโลก โลกนี้อยู่ในของเรา นี่ไง มันหลอกมันล่อ กิเลสมันซุ่มดักอยู่ มันไปไม่รอดหรอก

ครูบาอาจารย์ของเรานะ ท่านจะมีสูงส่งขนาดไหน อันนั้นเป็นสมบัติของโลก เราไม่ไปตื่นเต้นไปกับเขา ถ้าเขาเสียสละ เขาทำของเขา นั่นเป็นประโยชน์ของเขา นั้นคือบุญกุศลของเขา สิ่งที่เขาทำอันนั้นเขาได้บุญกุศลของเขา มันไม่เกี่ยวอะไรกับเราหรอก เกี่ยวก็เกี่ยวแค่ว่ากลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมเท่านั้นน่ะ เขาเชื่อใจของเขา เขาทำของเขาเพื่อประโยชน์กับเขา อันนั้นเป็นเรื่องของโลกใช่ไหม แต่หัวใจของเราๆ ท่านดูแลกันตรงนี้ไง แล้วมันก็ไม่สั่นไม่ไหวไปกับเขา

ถ้าไม่สั่นไม่ไหวไปกับเขา มันเป็นประโยชน์โลก สิ่งที่ทำมันเป็นประโยชน์โลก มีการเคลื่อนไหว สิ่งใดที่มีการเคลื่อนไหว สิ่งที่มีการกระทำนั้นมันเกิดเหตุเกิดผลทั้งนั้นน่ะ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันมีเหตุมีปัจจัยของมัน มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของมันไง แต่หัวใจเราสงบ หัวใจของเรานิ่งอยู่ หัวใจของเราไม่ตื่นเต้นไปกับมันไง ถ้าหัวใจมันสงบได้ สงบได้เพราะอะไรล่ะ สงบได้เพราะการฝึกหัดไง ได้ด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยการค้นคว้านี่ไง ดูแลรักษามันๆ ดูแลรักษาถมจนมันเต็มแล้วมันจะไปหวั่นไหวอะไรกับใครไง นี่คือหัวใจของเราไง

ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่วางไว้ วางไว้ตรงนี้ไง ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคตไง เราค้นคว้าหาใจของเรา แล้วเราพยายามปฏิบัติของเรา แล้วให้เป็นคุณประโยชน์ในใจของเรา เอวัง